-วิธีอ่านดวงให้ง่าย 1
วิธีอ่านดวงให้ง่ายๆ 1
ผมเองว่างเว้นจากการสอนโหราศาสตร์ไปนานมากแล้ว การเขียนบทความของผมก็ลดน้อยถอยลงแทบไม่ค่อยได้เขียน แต่ก็เห็นมิตรสหายในวงการโหราศาสตร์ผลัดกันเขียนถ่ายทอดประสบการณ์ ซึ่งก็ทำให้ผมได้ประสบการณ์จากเพื่อนนักโหราศาตร์เองโดยไม่ต้องขวนขวายออกไปหา สมัยที่ผมเรียนโหราศาสตร์กับท่านอาจารย์อรุณ ลำเพ็ญ ท่านมักบอกเสมอว่า การเรียนโหราศาสตร์ผู้เรียนจะเหมือนกับวัวที่หาอาหารกิน วัวที่นิยมเลี้ยงกันจะมี 2 ประเภทคือ วัวนมกับวัวเนื้อ วัวนมนั้นมักจะถูกเลี้ยงแบบให้ยืนในคอก ผู้เลี้ยงที่เปรียบเหมือนอาจารย์สอนโหราศาสตร์ก็มักจะเป็นผู้นำอาหารดีๆมาป้อน โดยวัวนมจะมีเพียงหน้าที่กินอาหารที่ผู้เลี้ยงป้อนเท่านั้น เหมือนคนที่เรียนโหราศาสตร์แบบที่อาจารย์เป็นผู้สอน ก็มักจะได้วิชาความรู้ดีๆและได้แบบง่ายๆไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายให้เหนื่อยยากแต่อย่างใด ส่วนวัวเนื้อนั้นเป็นการเลี้ยงแบบไล่ทุ่ง คือผู้เลี้ยงจะพาออกไปทุ่งที่มีหญ้า และจะปล่อยให้หากินเอง วัวก็จะพยายามหาสิ่งที่กินได้พยายามกินให้มากกินให้อิ่ม บางทีก็ได้กินของดีๆอย่างช่วงหน้าฝนหญ้อออกจะผลิดใบก็จะกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ยามแล้งก็อดอยากปากแห้ง เหมือนคนเรียนโหราศาสตร์ที่ศึกษาด้วยตนเอง ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนเพื่อให้ได้อาหารอิ่มท้อง ไม่ค่อยมีโอกาสเลือกมากนัก บางทีก็ได้วิชาดีแต่ก็ยังค่อนข้างอดอยากปากแห้ง ความแตกต่างกันทั้งสองแบบนี้อยู่ตรงที่ว่า คนที่เรียนกับอาจารย์มากๆ จะเป็นโรคติดอาจารย์ เหมือนวัวนมที่ไม่เคยออกหากินเองย่อมไม่มีประสบการณ์ในโลกกว้าง พวกกลุ่มนี้จึงแม่นตำรา แต่ทายไม่ได้ สอนเก่งรู้มาก แต่ทายออกสนามไม่ค่อยได้ดี ยิ่งเป็นการพยากรณ์ต่อสาธารณะยิ่งเกิดวามลำบากใจมากขึ้น การพยากรณ์ต่อหน้าบุคคลอื่นนั้นเหมือนการไปตายเอาดาบหน้าที่เดียว โดยเฉพาะสำหรับพวกมือใหม่ๆ บางคนพยากรณ์ผิดหลายๆครั้งเข้าก็บอกเลิกไป วันไหนมีคนส่งใบดวงมาให้พยากรณ์จะเกิดอาการเหมือนถูกผีหลอกหลอนเอาทีเดียว นักพยากรณ์ที่คุยว่าพยากรณ์ไม่ผิดนั้นผมเชื่อว่าไม่มี เพียงแต่เขาไม่คุยกันเท่านั้น เราจะคุยเฉพาะส่วนที่เราพยากรณ์ถูกเท่านั้นชื่อเสียงเลยดังเฉพาะส่วนนั้น แต่ก็จะเป็นผลเสีย ถ้าคนเชื่อว่าเราเป็นอย่างนั้นเกิดมาให้เราพยากรณ์แล้วไม่แม่นเหมือนที่ลือกัน ชื่อเสียงเป็นต้องเสียหายหนักขึ้นทีเดียว
การพยากรณ์โหราศาสตร์จะว่ายากก็ยาก แต่ถ้าจะทำให้ง่ายก็ง่ายจริงๆ แต่ทั้งนี้เราต้องกำหนดจุดมุ่งหมายการเป็นนักพยากรณ์ของเราไว้ก่อนว่าเราต้องการเป็นนักพยากรณ์ในแบบไหน เราแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ
- นักพยากรณ์สมัครเล่น พวกนี้พยากรณ์เพราะความชอบส่วนตัวแต่ก็ไม่คิดที่จะจริงจังทุ่มเทกับมันมากนัก เพราะอาจจะมีอาชีพและสถานะทางสังคมสูงอยู่แล้ว การสนใจโหราศาสตร์ก็เป็นเพียงเพื่อต้องการตอบสนองความชอบส่วนตัว และเพื่อประโยชน์ในเรื่องการคบหาสมาคม เป็นเรื่องมนุษย์สัมพันธ์
- นักพยากรณ์อาชีพ คนกลุ่มนี้ต้องดำรงค์ชีวิตอยู่ได้จากการพยากรณ์ เพราะฉะนั้นความแม่นยำ กว้างขวางในหลักพยากรณ์จึงต้องมีฐานแน่นกว่าพวกกลุ่มแรกแน่นอน และจะต้องเป็นคนที่มุ่งมั่นทุ่มเทกับการฝึกฝน ให้ผลการพยากรณ์อยู่ในระดับที่คนภายนอกยอมรับได้ เข้าทำนองพยากรณ์ผิดแต่ฟรีคนเขาไม่ว่ากัน แต่เสียทรัพย์แล้วพยากรณ์ผิดคงไม่มีลูกค้าคนได้ยอมแน่นอน ถึงแม้ไม่โต้แย้งแต่ก็ไปพูดให้เสียชื่อ โอกาสที่จะรุ่งเรืองในอาชีพนี้ก็คงยาก
- นักพยากรณ์ระดับโหราจารย์ พวกกลุ่มนี้จะเรียนอย่างกว้างขวาง ครอบคลุมและเรียนแบบเจาะลึกจนเป็นผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างมากมาย รู้ทั้งภาคคำนวณ พยากรณ์ และพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการพยากรณ์ สามารถถ่ายทอดได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งปัจจุบันก็เริ่มมีคนกลุ่มนี้ลดน้อยถอยลงไปมากแล้ว
ท่านผู้อ่านต้องตั้งจุดมุ่งหมายก่อนว่าจะเป็นในระดับไหน จะได้เรียนอย่างไม่ต้องเสียเวลา
และทำให้กิจกรรมในชีวิตเรื่องอื่นๆเสียไปด้วย ในปัจจุบันการพยากรณ์โหราศาสตร์นั้นมีหลายแบบ ที่สำคัญๆก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
- กลุ่มที่ใช้ทักษาในการพยากรณ์ มีการนำ เดซ ศรี กาลีมาพยากรณ์ร่วมด้วย การพยากรณ์ในแบบนี้ค่อนข้างสะดวกมีความแม่นยำมากทีเดียว แต่จะเสียก็ตรงเรื่องการพยากรณ์จร ที่มักจะสับสนว่าจะเข้าทักษาจรแบบไหน จึงจะแม่นยำต่างคนต่างอาจารย์ ในความเห็นของผมคนที่คิดจะเรียนโหราศาสตร์ครั้งแรกๆน่าจะเรียนในกลุ่มนี้ก่อน เพราะไม่ซับซ้อนความแม่นยำก็ไม่น้อยหน้าใคร จะลำบากตรงที่ต้องการพยากรณ์แบบพลิกแพลงนั้นค่อนข้างทำได้จำกัด
- กลุ่มที่ไม่ใช้ทักษา กลุ่มนี้ก็กำลังเป็นกลุ่มที่มาแรงกว่ากลุ่มแรก การพยากรณ์ในกลุ่มนี้เป็นการเน้นการพยากรณ์ด้วยวิธีการใช้ภพสัมพันธ์ และสามารถพลิกแพลงรูปแบบการพยากรณ์ได้มาก และมีความสอดคล้องกับการพยากรณ์ด้วยราศีจักร เมื่อเทียบกับกลุ่มแรก กลุ่มนี้การพยากรณ์จะมีลีลาลูกเล่นมากกว่า การผสมความหมายเพื่อพยากรณ์ก็ดูจะราบรื่นกว่าการนำทักษามาผสมบบกลุ่มแรก ตรงนี้เป็นความเห็นของผมคนเดียวนะครับ อาจจะเป็นเพราะผมมีความรู้ไม่หลากหลายมากนักอาจจะผิดก็ได้ ท่านผู้อ่านก็รับฟังไว้ก็แล้วกัน
จุดเด่นในการพยากรณ์จรของกลุ่มแรกอยู่ที่ทักษา เพราะมีจุดเน้นที่ชัดเจนคือด้านดีพิจารณาศรีจร ด้านร้ายพิจารณากาลีจร จึงทำให้ไม่สับสนใจการวิเคราะห์ผลการพยากรณ์ จะเป็นปัญหาก็ตรงที่ว่าเมื่อดาวอุตสาหะเข้าวินาศ กัมมะจรร่วมศรี คนพยากรณ์ก็เกิดอาการหน้ามืดเหมือนเป็นความดันต่ำทันที
ส่วนจุดเด่นการพยากรณ์ด้วยระบบภพจรนั้น ความหมายภพเป็นไปในทำนองเดียวกัน แต่พอเราใช้ภพจรซ้อนภพเดิม ทำให้การแปลความหมายมากขึ้น เพราะจะเกิดภพอริ มรณะ และวินาศทั้งดวงเดิมและจร เลยไม่แน่ใจว่าที่ดีจะดีจริงหรือเปล่า ส่วนไอ้ที่เสียก็ชักไม่มั่นใจว่าเสียจริงหรือเปล่า ระบบนี้ก็น่าปวดหัวเหมือนกัน
จะเห็นว่าไม่ว่าระบบไหนๆก็ล้วนมีจุดอ่อนกันทั้งนั้น การลดจุดอ่อนสามารถทำได้ด้วยวิธีการพยากรณ์ให้มากๆ ดูของจริงอยู่สม่ำเสมอ และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การพยากรณ์ไม่ว่าจะเป็นระบบใดก็ตาม การใช้รูปแบบการพยากรณ์ที่ขั้นตอนมากนั้นกลับไม่เป็นผลดี เพราะผู้พยากรณ์ไม่ได้สามารถใช้เวลาในการวิเคราะห์ได้นานๆ ส่วนมากจะเป็นการพยากรณ์เฉพาะหน้าทั้งนั้น ถึงแม้จะมีเวลาที่จะพยากรณ์มากก็ตาม ก็อดที่จะเกิดปัญหาสับสนในหลักวิชาที่จะพยากรณ์อยู่ดี การเรียนโหราศาสตร์จึงต้องพยายามเรียนให้ง่ายลงแต่ต้องแม่นยำ ไอ้ตรงนี้แหละที่มันหาเรียนยาก แต่ถ้าลมหายใจยังมีก็น่าจะมีโอกาสได้เรียนครับ
ผมอารัมภบทเสียนานก็อยากที่จะเสนอการพยากรณ์ในแบบง่ายๆ สำหรับเป็นแบบฝึกหัดสำหรับคนที่อยากดูดวงเป็น เราจะใช้ระบบแรกก็คือ ใช้ทักษากันก่อน
ดวงนี้เป็นสตรีเกิด วันจันทร์ ที่ 21 ส.ค. 2496 เวลา 21.36 น.
พิจารณาในด้านดี พิจารณาดาว ๗ เป็นศรีกำเนิด
- ดาว ๗ เป็นกรรมมะและเป็นศรี เธอเป็นคนที่มีหน้าที่การงานที่ดี แต่ก็เป็นงานหนัก และต้องรับกับความทุกข์มาก มีภาระมาก และมักจะมีเรื่องที่ต้องปรับเปลี่ยนโยกย้ายมาก(ความหมายดาว ๗ ทุกข์ หนัก ภาระ พลัดพราก ) ดาว ๗ เป็นเป็นอุจงานของเธอจึงมีหน้าที่สำคัญๆ แต่ไม่มีความสุขมากนัก (ดาว ๗ เรือนดาว ๖ คู่ศัตรู)
- ดาว ๗ ร่วมเรือนเกษตรดาว ๕ เป็นเจ้าเรือนศุภะ และอริ ดาว ๕ เป็นศัตรูกับ ดาว ๗ จึงหมายถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นนัก เราก็พยากรณ์ไปว่า นอกจากเธอจะต้องหนักใจกับหน้าที่การงานแล้ว กับเจ้านายหรือผู้ใหญ่ก็มักจะสร้างความลำบากใจให้แก่เธอ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์( ๕เป็นมูละ) แถมยังมักจะมีเรื่องขัดแย้งกันด้วย แต่ความที่เป็นศรี เราต้องพิจารณาว่าดาว ๗ เป็นศรีไปให้คุณดาว ๕ แต่ดาว ๕ เป็นศัตรูไม่ให้คุณดาว ๗ จึงหมายถึงว่าทีประโยชน์เจ้านายก็จะเอา ที่จะให้ประโยชน์แก่เธอก็ไม่ค่อยจะได้
- ดาว ๘ คู่มิตรร่วมเรือนเกษตรดาว ๗ ดาว ๘ เป็นเจ้าเรือนลาภะ และเป็นอุตสาหะ จึงหมายถึงในเรื่องงาน ก็มักจะมีพรรคพวกให้ความช่วยเหลืออยู่เสมอ คอยแก้ปัญหาให้
ผู้ที่ใช้ทักษาต้องระมัดระวังให้ดี ดาวศรีเมื่อไปสัมพันธ์กับดาวดวงอื่นแสดงว่าศรีให้คุณแก่ดาวดวงนั้น ในแง่กลับกัน เมื่อดาวดวงนั้นเป็นศัตรู ก็จะย้อนกลับไปให้โทษดาวศรี อย่างกรณีในข้อ 2ดาว ๗ ให้คุณ ๕ แต่ดาว ๕ ให้โทษ ๗ ผลพยากรณ์จึงเป็นเช่นนั้น และยังพยากรณ์ต่อไปได้ว่า โชคลาภและความสำเร็จ(ความหมายของดาว ๗ ศรี)ในชีวิตของเธอนั้นมักจะเกิดอุปสรรค เพราะเจ้านาย ผู้บังคับบัญชา และญาติผู้ใหญ่ ของเธอเอง
- ดาว ๒ พันธุเป็นบริวาร อยู่ในมุมตรีโกณฑ์กับดาว ๗ ศรี เธอมักจะต้องแบกรับภาระของญาติๆ ของครอบครัวทั้งในเรื่องการงาน (ดาว ๗ เป็นกัมมะ และศรี) และการเงิน แต่ก็เป็นการทุ่มเทแบบเปล่าประโยชน์มีแต่สูญเสีย( ดาว ๒ + ๗ คู่พรัดพราก ) ดาว ๒ พันธุ บริวาร เป็นแต่รับเท่านั้น
สรุป ในด้านศรีนั้นมีแต่ไปสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นทั้งนั้น จึงมองว่าเธอเป็นคนอาภัพไม่มี
โชค ทีเป็นเช่นนั้นเพราะดาวศรีสัมพันธ์กับลัคนา แต่ก็เป็นมุมภิณทุบาทว์ ให้คุณในเรื่องงาน แต่ก็ให้ทุกข์มาด้วย ส่วนตนุลัคน์คือ 3 ก็ไม่สัมพันธ์ถึงเลย ประโยชน์จากศรีจึงเป็นอย่างที่เห็น
ด้านร้าย พิจารณา กาลี ดาว ๑
- ดาว ๑ เป็นกาลีเป็นเกษตรอยู่ในภพปุตระ ในเรื่องบุตรบริวารไม่เป็นประโยชน์กับเธอมากนัก มักจะเป็นเรื่องเดือดร้อน โดยเฉพาะ บริวารที่วางตัวเจ้ายศเจ้าอย่างหรือตำแหน่งสูงกว่า(ดาว ๑ ยศศักดิ์)
- ดาว ๑ กาลีเล็ง ๒ พันธุ ครอบครัวของเธอไม่มีความสุขขาดความอบอุ่น เพราะเรื่องทิษฐิ เกียรติยศและศักดิ์ศรี มีแต่เรื่องเดือดร้อน ดาว ๑ + ๒ คู่ครอบครัว ชีวิตมีแต่ปัญหาครอบครัว
- ดาว ๑ ตรีโกณฑ์ถึงลัคนา ดาว ๓ เป็นตนุ มรณะ และเป็นอายุทางทักษา ชีวิตของเธอมักจะพบกับความขัดแย้ง มีอุปสรรค(ดาว ๓ เป็นอายุ) โดยเฉพาะกับคนที่มีอำนาจ หรือผู้ใหญ่ (ดาว ๑ เป็นกาลี)
- ดาว ๑ โยคหลังดาว ๗ ซึ่งเป็นเจ้าเรือนกัมมะ และเป็นศรี หมายถึงความก้าวหน้าในเรื่องหน้าที่การงานมักจะเกิดอุปสรรคจากผู้ใหญ่หรือเจ้านาย
- ดาว ๑ กาลี เดินนำหน้าดาว ๓ ๔ ๖ ดาว ๓ อายุ หมายการดำรงชีวิตมักจะเกิดอุปสรรคและเดือดร้อนเกิดกับตนเอง ดาว ๔ เดช ชื่อเสียงของตัวเองก็มักจะเกิดความเสื่อมเสียในสังคม ดาว ๖ มนตรี หมายถึงหาความช่วยเหลือได้ยาก ไม่มีผู้อยากให้ความช่วยเหลือ
และทั้งหมดนี้คือการพยากรณ์ที่เราพิจารณาเฉพาะเรื่องศรีและกาลี การพยากรณ์แบบนี้
สามารถใช้ในการใช้พยากรณ์ทั่วๆไปได้เป็นอย่างดี อาจจะไม่มีความพิสดารแต่ก็มีผลพยากรณ์ที่น่าพอใจ ขั้นตอนการพยากรณ์นั้นจะมีความแม่นยำหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการใช้เกณฑ์ในการพยากรณ์ แต่เป็นการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างดาวเป็นแม่บท และใช้เกณฑ์เป็นการสนับสนุนให้การพยากรณ์มีความชัดเจนมากขึ้น ถ้านักศึกษาโหราศาสตร์มือใหม่เข้าใจ ก็รับรองได้ว่ามือของคุณต้องเปลี่ยนเป็นมือเก๋าแน่นอน เราลองมาพยากรณ์จรกันดูแต่ต้องเฉลยก่อนว่าพื้นดวงของเธอเป็นอย่างไร
สตรีผู้นี้เธอมักจะมีผู้ที่เกลียดชังเธออยู่เสมอ ไปไหนก็มีแต่คนหาเรื่องรังเกียจ จนกระทั้งแต่งงานก็มีปัญหากับคู่ครองแล้วก็หย่ากันในที่สุด และระหว่างนั้นก็เกิดไปชอบกับสามีของเพื่อนที่ได้เสียไปแล้ว และพยายามติดกับอดีตสามีเพื่อน จนในที่สุดก็ได้อยู่กินกัน แต่ก็ไม่ได้จดทะเบียนสมรส แล้วปัญหาเดิมๆก็เกิดขึ้นอีก เจ้าตัวมีปัญหากับญาติผู้ใหญ่ของสามี จนในที่สุดถูกญาติฝ่ายสามีขับไล่ออกจากบ้านสามี และก็เป็นจุดที่สามีต้องเลิกกับเธออีกครั้งหนึ่ง ชีวิตของเธอไขว่คว้าแต่ความรัก แต่ก็ไม่เคยสมหวัง และก็ลืมเลือนให้ความอบอุ่นกับบุตร และคาดว่าอนาคตคงจะเกิดเรื่องขึ้นอีกแน่นอน เธอถูกให้ออกจากบ้านสามีตั้งแต่ เดือน พ.ค. 2539 เรามาดูรูปดวงในเดือนนั้นดู เป็นวันจร 1 พ.ค. 2539 อายุย่าง 43 ปี ดาว ๗ เสวยอายุ อายุจรตกภูมิ ๘ (นับแบบเทคนิคพยากรณ์) ดาว ๒ เป็นศรีจร และดาว ๕ เป็นกาลีจร การดูดวงให้ง่ายจะมีขั้นตอนดังนี้ (ตรงนี้เป็นเกล็ดความรู้ที่ใช้ในสนาม ถ้าคนสนใจมากๆ ผมก็จะพยายามจะเขียนวันละนิดวันละหน่อยพอให้เป็นเล่มมาให้อ่านกันบ้าง ทุกวันนี้เป็นชีทกระจัดกระจายอยู่)
- พิจารณาดาว ศรีเป็นดาว ๒ จัดเป็นดาวประเภทเดินเร็ว การให้คุณหรือให้โทษในลักษณะนี้ไม่น่าสนใจ แต่ต้องไปดูที่พื้นดวงว่าดาว ๒ โดนเบียนหรือไม่ถ้าถูกดาว ใหญ่ ๕ ๗ ๘ ๐ เบียน ก็หมายความว่าเรื่องที่ไม่น่าสนใจก็ต้องสนใจกันบ้างแล้ว ในดวงนี้ดาว ๒ เดิมถูก ดาว ๗ และ ๐ ขนาบ แถมดาว ๘ ที่ดาวจันทร์สถิตอยู่ ก็จนเป็นอริ ในแบบนี้เรื่องศรีไม่มีโอกาสเกิดแน่นอน ไม่ต้องไปสนใจ งานนี้โชคไม่มีแน่นอน
- พิจารณาดาว ๕ กาลี เป็นดาวจรช้า การจรช้านั้นเป็นเรื่องใหญ่ เพราะยิ่งจรช้าเท่าไหร่ แรงกดทับในราศีที่ดาวนั้นสถิตย์อยู่ก็ย่อมที่จะรุนแรงและกดนาน เมื่อดาว ๕ เป็นกาลีจรเข้าภพศุภะเรือนกาลี แถมดาว ๕จรเป็นมรณะกับดาว ๕ เดิมแสดงว่าเป็นการจรให้โทษ
- เมื่อเราพิจารณาตามหลัก 2 ข้อต้นได้แล้ว เราก็สรุปได้ว่างานนี้เรื่องเฮงไม่มี แต่เดือดร้อนน่ะมีแน่นอน เราก็มาพิจารณาว่าเดือดร้อนอะไร ตรงนี้เป็นขั้นตอนเกล็ดวิชาเสริมในเทคนิคพยากรณ์ย่อโน้ตไปใส่ในหนังสือเล่มนั้นไว้ก็ดีนะครับ
- ดาว ๕ เป็นกาลีจร แต่พื้นดวงเป็นมูละเดิม หมายถึงที่อยู่เดือดร้อน อยู่ในเรือนอายุ จร ชีวิตวุ่นวายในเรื่องที่อยู่ ดาว ๖ เป็นเจ้าเรือนปัตนิ เพราะปัญหาเรื่องคู่ครองหรือเรื่องครอบครัว
- ร่วมดาว ๗ มนตรี เดือดร้อนเพราะเรื่องผู้ใหญ่ ในภพปัตนิของคู่ครอง
เราก็พอจะสรุปได้แล้วว่าปัญหาในปีนี้มี 2 เรื่อง
- เดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัย
- เดือดร้อนเพราะเรื่องญาติผู้ใหญ่สามี
ตรงนี้ขอคุยหน่อยนะครับ(อย่าหาว่าขี้คุยเลย แต่อยากโชว์น่ะ) ถ้าคนที่อ่านเทคนิคพยากรณ์
มาและเข้าใจขั้นตอนนี้ก็สามารถพยากรณ์เรื่องราวจรปีได้ถูกต้องในระดับหนึ่ง อย่างน้อยอาหารกลางวันมีฟรีแน่นอน เพราะเราสามารถบอกเรื่องราวที่จะเกิดได้ถูกต้อง ทีนี้ก็มาถึงขั้นตอนที่ยากขึ้นไป คือ การกำหนดระยะเวลา และการบอกรายละเอียด แหมตรงนี้น่ะสำคัญจริงๆครับและผมก็รู้ด้วย แต่ขอเล่นตัวไปคราวหน้าครับ สวัสดีครับ
***********************************
อาจารย์ คมเดชบ้านหมอดู
มือถือ 096-6364945
รับปรึกษา ดวงชาตา ทางโทรศัพท์ ส่วนตัว ทาง E-MAIL